“เฝ้าระวังโรคฉี่หนู (Leptospirosis)”

การ์ดห้ามตกเด็ดขาด!!

โรคฉี่หนู (Leptospirosis) หรือเรียกอีกอย่างว่าโรคเล็ปโตสไปโรซิส เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นได้ทั้งกับคนและสัตว์ การติดเชื้อในคนมีสาเหตุมาจากการสัมผัสดิน น้ำ อาหารที่ปนเปื้อนปัสสาวะ เลือด หรือเนื้อเยื่อของของสัตว์ที่ติดเชื้อชนิดนี้ เช่น สุนัข วัว ควาย หนู สุกร ม้า สัตว์ป่า เป็นต้น
การติดเชื้อโรคฉี่หนูที่ไม่ร้ายแรงอาจยากต่อการวินิจฉัย เหตุเพราะมีอาการเหมือนคลึงกับโรคอื่น ๆ เช่น โรคหวัด ในขณะที่โรคฉี่หนูชนิดร้ายแรงจะวินิจฉัยได้ง่ายกว่า ด้วยเหตุว่าแสดงอาการร้ายแรงมากกว่า

เริ่มแรกแพทย์จะตรวจร่างกายพื้นฐานและซักถามประวัติผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง เช่น เพิ่งจะกลับมาจากการเดินทาง เล่นกีฬาทางน้ำ มีการสัมผัสกับแหล่งน้ำจืด มีอาชีพที่ต้องทำงานกับสัตว์ หรือเคยพักหรืออาศัยอยู่ในที่ดินที่มีการระบาดของโรคฉี่หนูควรแจ้งข้อมูลกลุ่มนี้ให้แพทย์ทราบ

หากแพทย์พิจารณาแล้วว่ามีความเป็นได้ที่จะเป็นการติดเชื้อจากโรคฉี่หนู จึงอาจมีการส่งตรวจเลือดหรือตรวจปัสสาวะอย่างใดอย่างหนึ่งหรือตรวจทั้งคู่ ส่วนกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการของโรคชนิดร้ายแรง อาจต้องใช้การวินิจฉัยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การเอกซเรย์ทรวงอก การตรวจเลือดเพื่อให้ดูการทำงานของตับและไตเพิ่มเติม เป็นต้น

การรักษาโรคฉี่หนู
โดยมากโรคฉี่หนูมักไม่มีอาการร้ายแรงและหายดีได้เอง หรืออาจรักษาด้วยยาปฏิชีวนะอย่างยาเพนิซิลลิน (Penicillin) หรือดอกซีไซคลิน (Doxycycline) เป็นระยะเวลา 5-7 วัน ซึ่งควรต้องกินตามกำหนดให้ครบถ้วนแม้อาการจะดีขึ้นและตาม เพื่อให้ให้แน่ใจว่าเชื้อแบคทีเรียถูกกำจัดจนหมด และป้องกันการกลับไปติดเชื้ออีกรอบ

นอกเหนือจากยาปฏิชีวนะ ผู้ป่วยอาจกินยาแก้ปวดอย่างไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) หรือพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อให้ลดอาการปวดศีรษะ มีไข้ และปวดกล้ามเนื้อได้เช่นกัน

ในขณะที่ผู้ป่วยโรคฉี่หนูแบบร้ายแรงจำเป็นต้องนอกพักที่โรงพยาบาล และรักษาอาการติดเชื้อด้วยการฉีดยาปฏิชีวนะเข้าไปในกระแสเลือดโดยตรง และหากมีอวัยวะใด ๆ ที่เสียหายจากการติดเชื้อ ทำให้ไม่สามารถใช้หรือทำหน้าที่ตามเดิมได้ก็อาจจำเป็นต้องใช้เครื่องมือต่าง ๆ เข้าช่วย เช่น ผู้ป่วยอาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือหากติดเชื้อที่ไตทำให้ไตเสียหายจนทำงานไม่ได้ก็ต้องใช้การล้างไตเข้าช่วย เป็นต้น

ผู้ป่วยบางรายอาจออกจากโรงพยาบาลได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ แต่บางรายอาจต้องพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตรงเวลาหลายเดือน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการสนองตอบต่อยาปฏิชีวนะของผู้ป่วย รวมทั้งความเสียหายต่ออวัยวะที่ติดเชื้อ

ส่วนหญิงตั้งครรภ์ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เหตุเพราะเชื้ออาจแพร่ไปสู่ทารกในครรภ์และส่งผลให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นหญิงตั้งครรภ์ที่มีอาการของโรคฉี่หนูจึงอาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด
การป้องกันโรคฉี่หนู
ให้ความรู้เกี่ยวกับการติดต่อของโรคแก่ประชาชน โดยแนะนำให้หลีกเลี่ยงการว่ายน้ำหรือการเดินลุยในน้ำที่อาจปนเปื้อนเชื้อปัสสาวะจากสัตว์นำโรค หรือควรสวมใส่รองเท้าบู๊ตป้องกันทุกครั้งหากมีความจำเป็น


หมั่นตรวจตราแหล่งน้ำและดินทรายที่อาจมีเชื้อปนเปื้อน ควรระบายน้ำตามท่อระบายออกแล้วล้างเพื่อให้กำจัดน้ำที่ปนเปื้อน
ส่งเสริมการป้องกันโรคแก่คนที่ทำอาชีพที่มีความเสี่ยงทั้งหลาย โดยให้สวมถุงมือยางหรือรองเท้าบู๊ต
ควบคุมและกำจัดหนูตามรอบๆที่อยู่อาศัย สถานที่ทำงาน รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ โดยเฉพาะในที่ดินชนบท
แยกสัตว์ที่ติดเชื้อออกจากสัตว์ชนิดอื่น ๆ และรอบๆที่อยู่อาศัย เพื่อให้ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค
ปศุสัตว์และสัตว์เลี้ยงควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคฉี่หนู โดยเลือกฉีดวัคซีนซีโรวาร์ (Serovars) สำหรับป้องกันเชื้อฉี่หนูชนิดที่พบได้บ่อยตามท้องถิ่นนั้น ๆ ทั้งนี้การฉีดวัคซีนแม้จะสามารถป้องกันโรคฉี่หนู แต่ไม่อาจป้องกันการติดเชื้อหรือแพร่เชื้อทางปัสสาวะได้
ปัจจุบันในบางประเทศมีวัคซีนโรคฉี่หนูสำหรับคน โดยใช้ฉีดป้องกันให้คนงานหรือผู้มีอาชีพเสี่ยงติดเชื้อ ได้แก่ฝรั่งเศส เสปน อิตาลี จีน ญี่ปุ่น และอิสราเอล ส่วนในเมืองไทยยังไม่มีวัคซีนสำหรับคน
หมายเหตุ ลักษณะอาการของโรคฉี่หนู จะมีไข้สูงทันทีทันใด ปวดศีรษะ ปวดตามกล้ามเนื้อมาก โดยเฉพาะรอบๆน่อง หากมีอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้วให้รีบพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติการเดินลุยน้ำ ย่ำโคลน หรือ การสัมผัสน้ำ แก่แพทย์ผู้รักษาให้ทราบด้วย หากไม่รีบรักษาและปล่อยไว้นานจนอาการมากขึ้น อาจเสียชีวิตได้

ขอบคุณที่มา HATHAILANDfanpage