เช็กให้ชัวร์
โรคหวัดและภูมิแพ้ ดูเผินๆ อาจจะคล้ายกัน แต่โรคทั้งสองโรคมีความแตกต่างกัน ทั้งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค อาการแสดง รวมถึงการรักษาบางอย่างที่แตกต่างกัน บทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับโรคทั้งสองกันครับ
โรคหวัด หรือ ไข้หวัด
โรคหวัด หรือไข้หวัด (common cold) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งเชื้อที่พบบ่อยที่สุดคือ ไรโนไวรัส (Rhinovirus)
อาการแสดง เมื่อเป็นโรคหวัดได้แก่ ไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ มึนศีรษะ คัดจมูก และน้ำมูกไหล ซึ่งจะมีสีใสหรือขุ่นก็ได้ รวมถึงไอและเจ็บคอ
โรคหวัดพบได้บ่อยในสภาวะที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลงจากสภาวะต่างๆ ทั้งจากความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ อยู่ในที่ที่อุณหภูมิต่ำมากเกินไปแล้วไม่ได้ให้ความอบอุ่นร่างกายเพียงพอ เช่น การนอนเปิดแอร์หรือพัดลมจ่อร่างกาย การอยู่ในประเทศที่อากาศเย็น การตากฝน รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอากาศที่เร็วเกินไป ซึ่งจะทำให้ติดเชื้อไวรัสได้ง่ายขึ้น
การรักษา เมื่อเป็นหวัด โดยปกติสามารถหายเองได้ใน 7-10 วัน ไม่จำเป็นต้องทานยาปฏิชีวนะในการรักษาโรคหวัด นอกจากนี้ยังสามารถใช้ยาต่างๆ เพื่อบรรเทาอาการที่มี เช่น ยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ บรรเทาอาการปวดศีรษะ ยาแก้แพ้ลดน้ำมูก ยาแก้ไอ ยาพ่นหรือยาอมแก้เจ็บคอ รวมถึงวิตามินที่สามารถกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันร่างกาย เพื่อป้องกันและลดระยะเวลาในการเป็นหวัด
สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อเป็นโรคหวัด คือ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รักษาสุขภาพให้แข็งแรงเพื่อทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายกลับคืนมาเป็นปกติ นอกจากนี้เชื้อไวรัสสามารถแพร่ให้กับคนรอบข้างได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับคนรอบข้างในขณะที่เป็นหวัด หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกัน ใส่หน้ากากเพื่อป้องกันการกระจายตัวของเชื้อไวรัส รับประทานอาหารปรุงสุก และล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ
ไข้หวัดใหญ่
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Influenza
อาการแสดง มีอาการแสดงที่แตกต่างจากไข้หวัดเล็กน้อย โดยผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่มักจะมีไข้สูง มีอาการปวดเมื่อยตามร่างกายโดยเฉพาะที่หลัง แขน ขา ปวดศีรษะ และอ่อนเพลียมาก อาจจะมีไอแห้ง น้ำมูกไหล คัดจมูกได้บ้าง แต่ไม่ใช่อาการแสดงหลัก
เมื่อสงสัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ ควรรีบไปพบแพทย์ เนื่องจากไข้หวัดใหญ่ทำให้มีไข้สูง ซึ่งจะทำให้เกิดอาการขาดน้ำและอาจทำให้เกิดอาการช็อคได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ จึงควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
การป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ เหมือนกันกับโรคไข้หวัด คือควรรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงสภาวะต่างๆ ที่จะทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายตกลง อาจพิจารณาฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ โดยฉีดปีละ 1 ครั้งเป็นประจำ
โรคภูมิแพ้
โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (Allergic Rhinitis) หรือภูมิแพ้อากาศ เกิดจากการกระตุ้นการทำงานของสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือฮีสตามีน (Histamine) ในร่างกาย โดยสารก่อภูมิแพ้ ได้แก่อากาศ ฝุ่น ไรฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้ เป็นต้น
อาการแสดง ของโรคภูมิแพ้อากาศได้แก่ อาการจาม คันจมูก น้ำมูกไหล คัดแน่นจมูก คันตา คันคอ อาจมีอาการไอแห้งๆ ร่วมด้วย ปัจจัยกระตุ้นได้แก่ ฝุ่น อากาศ รวมถึงความเครียด การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ
สาเหตุของโรคภูมิแพ้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัด โดยถ้าคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ อาจมีการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ โดยผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้อากาศ อาจมีประวัติเป็นภูมิแพ้ชนิดต่างๆ ด้วย ได้แก่โรคเยื่อบุตาอักเสบภูมิแพ้ (Allergic Conjunctivitis) โรคหืด (Asthma) โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis) โดยโรคภูมิแพ้ไม่ใช่โรคติดต่อ
การรักษาโรคภูมิแพ้ ใช้การรักษาเพื่อบรรเทาอาการ เช่น ทานยาแก้แพ้เพื่อบรรเทาอาการคัน จาม น้ำมูกไหล ร่วมกับการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเพื่อกำจัดฝุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยกระตุ้น ถ้าหากมีอาการภูมิแพ้อากาศเรื้อรัง และรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน สามารถพิจารณาใช้ยาพ่นจมูก โดยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง
ขอบคุณที่มา โรงพยาบาลมหิดล
Leave A Comment